Davinci Code

ตอน . . . คริสต์ประวัติภาคสมบูรณ์ของ แมรี แม็กดาลีน

ค้ดจากนสพ ไทยรัฐ
แบับ วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2548

ความโด่งดังของหนังสือ “รหัสลับดาวินชี” ที่เขียนโดย แดน บราวน์ นั้น มาจากประเด็นสำคัญ ที่ผู้ประพันธ์ อ้างว่าองค์พระเยซูมีความสัมพันธ์ลึก ซึ้งกับสาวกหญิงนาม แมรี แม็กดาลีน จนถึงขั้นมีทายาทสืบสายโลหิตด้วยกัน

ความข้อนี้ทำให้หลายคนสนใจใคร่รู้ ถึงประวัติชีวิตของแม็กดาลีน เพราะในหนังสือมิได้ ระบุไว้ชัดเจน อีกทั้งหลักฐานในไบเบิลหรือคัมภีร์คริสต์ศาสนาอื่นๆก็เขียนไว้ไม่ปะติดปะต่อ แต่ในตอนนี้นักค้นคว้าได้นำเอาเอกสารลับที่พบเมื่อ 60 ปีก่อนโน้นมาเปิดเผย ทำให้สามารถ ประมวลชีวิตของเธอ แมรี แม็กดาลีน ได้อย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวาระสุดท้าย จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับผม

เอกสารโบราณดังกล่าวถูกพบอย่างบังเอิญโดยชาวไร่อียิปต์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1945 ขณะที่เขากำลังขุดเอาหินก้อนหนึ่งขึ้นก็ปรากฏว่ามีไหใบหนึ่งจมอยู่ข้างใต้ซึ่งเป็นดินอ่อน ไหใบนั้นบรรจุเอกสารปาปิรุสสองเล่มที่มีอายุเก่าแก่เกือบสองพันปี เป็นคริสต์ประวัติที่เขียนขึ้น โดยชนคริสเตียนรุ่นแรก นักโบราณคดีเชื่อว่ามีผู้ฝังเพื่อซ่อนไว้ให้พ้นจากมือของคริสเตียน กลุ่มอื่นที่มีศรัทธารุนแรง เพราะถ้าเผยแพร่ออกไปอาจสั่นคลอนความเชื่อมั่นของ คริสต์ศาสนิกชนได้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสานุศิษย์ ใกล้ชิดที่สุดของจีซัส ไครสต์ ที่มีนามว่า แมรี แม็กดาลีน และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญระดับผู้นำในการเผยแพร่ คำสอนของพระองค์

แมรีถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับพระเยซู ณ หมู่บ้านแม็กดาลา (เธอจึงได้ชื่อตามนั้น) ใกล้กับทะเลกาลิลี และอยู่ ภายในจังหวัดจูเดียซึ่งขึ้นกับอาณาจักรโรมัน

หลักฐานที่มีอยู่ระบุว่า แมรีในวัยเด็กมีชีวิตที่สุขสบายกับครอบครัวที่มีฐานะ เธอไม่ต้องทำงาน หนักเยี่ยงเด็กยิวทั่วไป และด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นที่มาของคำร่ำลือว่าเธอเป็นโสเภณี เมื่อแมรีย่างเข้าวัยสาวและสวย

นักโบราณคดีตีความหมายของคำ “โสเภณี” ในครั้งโน้นว่า อาจมิใช่เป็นหญิงที่ค้าขายร่างกาย แต่เป็นคำที่ใช้บอกถึงสตรีที่ประพฤติตนเป็นคนร้อนรัก หรือมีความสัมพันธ์กับชายอย่างผิดศีลธรรม ทั้งนี้ เพราะฐานะที่ร่ำรวยของแมรีทำให้เธอมีเวลาว่างเหลือเฟือ กอปรกับความสวย เธอจึงมีรักกับหนุ่มๆหลายคน จนถึงกับได้รับสมญาว่า “นางบาป”

แต่ไม่มีประโยคใดในไบเบิลที่ระบุว่าแมรีเป็นโสเภณี

นอกจากนี้ “แมรี” ยังเป็นชื่อธรรมดาสามัญอย่างยิ่งในครั้งโน้นกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของสตรีปาเลสไตน์ใช้ชื่อว่า “แมรี” หรือ “ซาโลเม่” และ “แมรี” หลายคนก็มีประวัติด้านชู้สาว จึงทำให้นักโบราณคดีสับสนว่าแมรี โสเภณีนั้นอาจเป็นคนละคนกับแมรี แม็กดาลีน ก็เป็นได้

นอกจากนี้ ไบเบิลยังบอกด้วยว่า แมรีเป็นสาวในหมู่บ้านประมงที่เผชิญกับ เคราะห์กรรมจากการมีปิศาจเจ็ดตนเข้าสิง ซึ่งเป็นสิ่งปกติสำหรับสมัยโบราณ เมื่อผู้ใดเจ็บป่วยก็มักกล่าวหาว่าเกิดจากการกระทำของภูตผีปิศาจ แต่แท้จริงแมรีอาจเป็นโรคลมชัก หรือโรคจิต โรคประสาทที่กำเริบเป็นครั้งคราว และจากการพาตนไปให้จีซัสรักษา ทำให้ทั้งสองได้พบกัน และชีวิตของแมรีก็แปรเปลี่ยนไปนับแต่นั้น นอกจากนี้ การขับภูตผีปิศาจออกจากร่าง ก็ได้ทำให้เธอมีความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์

เมื่อหายจากโรคร้าย แมรีก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในจีซัส และติดตามไปในฐานะสานุศิษย์

เริ่มแรกนั้น พวกเขาพำนักอยู่ในกาลิลี จาริกไปตามโบสถ์ยิว ประกาศว่าอาณาจักรแห่งพระเจ้าใกล้มาถึงแล้ว ส่วนจีซัสก็ทำการรักษาผู้เจ็บป่วย และแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ให้ปรากฏเห็น จำนวนผู้เข้าร่วมกลุ่มก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดกลุ่มผู้เลื่อมใสก็มากล้นโบสถ์ จีซัสจึงต้องเผยแพร่คำสอนโดยออกไปใช้ลานกลางแจ้ง มีแมรีคอยปรนนิบัติอยู่เคียงข้าง

จากเอกสารโบราณที่พบในอียิปต์ : แมรีกับจีซัสมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก หลายคราที่จีซัสอยู่กับเธอตามลำพัง และสั่งสอนเป็นพิเศษ ซึ่งมีแต่เธอเท่านั้นที่จะหยั่งถึงได้ ความสนิทสนมนี้ก่อความไม่เข้าใจให้สานุศิษย์อื่น

แมรี แม็กดาลีน ติดสอยห้อยตามองค์พระเยซูอยู่สามปี

ครั้นแล้วพระองค์ก็บอกแมรี แม็กดาลีน และสานุศิษย์ทั้งปวงให้ออกเดินทางจากกาลิลี ไปสู่เยรูซาเลมเพื่อฉลองเทศกาลพาสส์โอเวอร์

ล่วงเข้าสัปดาห์ เทศกาล แมรีกับสานุศิษย์หญิงอื่นๆวุ่นวายอยู่กับการตระเตรียม อาหารสำหรับฉลองวันพาสส์โอเวอร์ แม้ว่าสตรีจะไม่ได้ ร่วมใน “อาหาร มื้อสุดท้าย” แต่พวกเธอก็อยู่ในบริเวณนั้นด้วย และแมรีก็คอยปรนนิบัติจีซัส อย่างใกล้ชิดระหว่างเสวยกระยาหาร

จากนั้น กลุ่มผู้ถือดาบและกระบองก็ได้บุกรุกเข้ามาจับกุมจีซัส พระองค์ทรงยินยอมอย่างสงบ พวกนั้นนำพระองค์ไปมอบให้แก่โรมัน แมรีรู้ดีถึงความโหดร้ายทารุณของโรมัน จีซัสอาจถูกทรมานหรือแม้กระทั่งสังหาร และแล้วเธอก็ได้ล่วงรู้ว่าพระองค์ถูกตรึงกางเขน เธอรีบรุดไปยังกอลโกธาที่ซึ่งจีซัสถูกทรมาน

ตลอดช่วงเวลาเจ็บปวดรวดร้าวอันยาวนาน จนสิ้นพระชนม์นั้น แมรีก็คอยเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้น คัมภีร์คริสต์ประวัติกล่าวว่า เธอได้เห็นเขาฝังร่างพระองค์ลงในหลุมหิน แต่วันนั้นเป็นวันแซบบาธอีฟ กฎหมายยิวห้ามการเยี่ยม เยือนศพในวันศักดิ์สิทธิ์นั้น เธอจึงต้องรั้งรอจนถึงเวลาที่ได้อนุญาต เธอไปถึงสุสานเพื่อจะพบว่ามันเปิดอยู่ และร่างของจีซัสได้อันตรธานไปเสียแล้ว

แมรีคาดคิดว่ามีผู้มาบุกรุกสุสาน เธอจึงร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศก เธอไม่รู้ว่ากำลังจะได้เผชิญกับเหตุการณ์สำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์ เพราะเมื่อเธอหันกลับมาก็ได้ เห็นจีซัสยืนอยู่และมีรับสั่งว่า

“จงไปยังพี่น้องของเราและบอกพวกเขาว่า เรานั้นสืบทอดมาจากพระบิดาของเราและของเจ้า จากพระเจ้าของเราและของเจ้า”

แมรีปฏิบัติตามที่ได้รับบัญชา เธอประกาศแก่เหล่าสานุศิษย์ว่า “ข้าได้เห็นพระองค์” และบอกถึงถ้อยคำที่พระองค์รับสั่ง

นั่นเป็นบทบาทสุดท้ายของแมรีที่มีปรากฏในไบเบิล

แต่ในคัมภีร์โบราณจากอียิปต์มีระบุต่อไปว่า แมรีดำเนินการป่าวประกาศคำสอน ของจีซัสอย่างเข้มแข็งต่อไป โดยมิได้ หวาดหวั่นเหล่าโรมัน เธอได้กลายเป็นผู้นำแห่งสานุศิษย์ของจีซัสในการเผยแพร่ คริสต์ศาสนา

สำหรับบั้นปลายแห่งชีวิตของแมรี มีปรากฏใน “ตำนานทอง (The Golden Legend)” ซึ่งเป็นหนังสือรวบรวมประวัติของนักบุญที่เขียนขึ้นในยุคกลางของยุโรป ซึ่งได้กล่าวว่า แมรีได้ทำหน้าที่ของเธอต่อมาในดินแดนมาตุภูมิเป็นเวลา 14 ปี จากนั้น เธอจึงเดินทางไปอยู่ที่ เมืองท่ามาร์ไซลส์ ในมณฑลโปรวองซ์ของฝรั่งเศส และอยู่ที่นั่นจนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ต่อมาคริสต์ ศาสนาก็ได้แต่งตั้งให้แมรี แม็กดาลีน เป็นนักบุญ (Saint)

ท่านผู้อ่านที่สนใจใคร่เห็นภาพใน อดีตกาล ก็เปิดชมได้ในโทรทัศน์ UBC ช่อง HISTORY (33) เรื่อง Mary Magdalene ในวันจันทร์ที่ 14 สิงหาคมนี้ เวลา 18.00 น. ครับผม.

ทีมงาน ต่วย'ตูน

Upload 8 Sep 2005