สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย ร่วมกับ
โรงเรียนอัสสัมชัญ และฝ่ายงานอภิบาลและธรรมทูตอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ จัดเสวนาเรื่อง
"ถอดรหัส ดาวินชี" โดยวิทยากรได้แก่ คุณพ่อบรรจง สันติสุข นิรันดร์
คุณพ่อเคลาดิโอ เบร์ตุชอร์ อาจารย์วิทยาลัยแสงธรรม และ รศ.ประทุมพร วัชรเสถียร
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการเสวนาโดย คุณพ่อชาญชัย ทิวไผ่งาม
ที่ห้องประชุมชั้น 9 โรงเรียนอัสสัมชัญ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม
ที่ผ่านมา โดยมีผู้สนใจเข้าฟังกว่า 200 คน
การเสวนาครั้งนี้สืบเนื่องจากมีผู้สนใจนิยาย
เล่มนี้ที่เขียนโดย แดน บราวน์ เป็นจำนวนมากในต่างประเทศขายได้หลายล้านเล่ม
ติดอันดับหนังสือขายดีในอเมริกากว่า 1 ปี ส่วนฉบับภาษาไทยพิมพ์ไปแล้วถึง
19 ครั้ง (กรกฎาคม ค.ศ.2005) แต่เนื้อหาหลายส่วนในหนังสือเล่มนี้มีข้อขัดแย้งกับคำสอนของคริสตศาสนา
อาจารย์ประทุมพรกล่าวว่า "หัวข้อเสวนาในวันนี้เป็นเรื่องยากเพราะเป็นเรื่องของปรัชญา
ศาสนา และ ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์เกือบทั่วโลก นับถือโดย ใช้ความเชื่อกับศรัทธานำหน้าความจริง
หนังสือของแดน บราวน์ ที่ชื่อ The
Da Vinci Code พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.2003 และฮอลลีวู้ดซื้อลิขสิทธิ์หนังสือเล่มนี้ไปสร้างเป็นภาพยนตร์จะออกฉาย
ในเดือนพฤษภาคมปีหน้า (ค.ศ.2006) สำหรับฉบับภาษาไทยผู้แปลใช้นามปากกาว่า
อรดี สุวรรณโกมล ตั้งชื่อภาษาไทยว่า "รหัสลับดาวินชี" ผู้เขียนหนังสือศึกษาด้านภาษาศาสตร์โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ
ภรรยาศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะ บิดาศึกษาด้านคณิตศาสตร์ เพราะฉะนั้นเขาจึงเข้าถึงความรู้พื้นฐานที่จะนำมาใช้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้ดี
ก่อนเรื่องรหัสลับดาวินชี เขาเขียนนิยายเรื่อง Angels & Demons แปลเป็นไทยชื่อ
"เทวากับซาตาน" โดยนักแปลคนเดียวกัน ในเรื่องรหัสลับดาวินชีเขามีตัวละครต่างๆ
ได้แก่ภัณฑารักษ์ของ พิพิธภัณฑสถานลูฟร์ที่ถูกฆ่าตายตอนต้นเรื่อง ผู้แกะรหัสลับทั้ง
2 คน คือ ศ.โรเบิร์ต แลงดอน กับ โซฟี เนอเวอ เป็นหลานของภัณฑารักษ์ด้วย
และตัวร้ายในเรื่องคือ เซอร์ลีห์ ทีบบิง รวมทั้งบาทหลวงที่อยู่ ในกลุ่ม
Opus Dei
ผู้เขียนน่าจะมีความเห็นใจกลุ่มสมาคมลับที่ชื่อว่า
เดอะ ไพรเออรี่ ออฟ ไซออน (The Priory of Sion) ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1099
ผูกพันกับทหารที่ไปรบ ในสงครามครูเสดที่เรียกว่า The Knight Templars หนังสือเล่มนี้เน้นเรื่องประวัติศาสตร์ศาสนาและโบราณคดี
โดยเฉพาะเรื่องของจอกศักดิ์สิทธิ์ (The Holy Grail) ซึ่งเขาได้แนวคิดมาจากหนังสือ
2 เล่มคือ Holy Blood, Holy Grail และ The Templar Revelation นำข้อมูลต่างๆ
จากหนังสือ 2 เล่มนี้มาใส่ตัวละคร สำหรับเรื่องจอกศักดิ์สิทธิ์ เป็นความเชื่อตั้งแต่สมัยกลาง
เชื่อว่าในวันที่เกิด The Last Supper มีถ้วยใส่เหล้าองุ่น อยู่ใบหนึ่งที่ได้สัมผัสพระโอษฐ์ของพระเยซูเจ้าและ
ลูกศิษย์คนหนึ่งของพระองค์แต่ไม่ได้เป็นอัครสาวก นำถ้วยนี้ไปรองพระโลหิตของพระองค์ที่ไม้กางเขนด้วย
ท่านได้หนีศัตรูไปหลายแห่ง ก่อนตายอยู่ที่อังกฤษ ได้ให้ถ้วยนี้กับทายาทในรุ่นต่อไป
อัศวินในสมัยกลางเชื่อในถ้วยนี้ว่ามีค่าด้านของโบราณ มีความศักดิ์สิทธิ์และคุณค่าด้านการผจญภัย
จึงตามหากันว่าถ้วยนี้อยู่ที่ไหน ซึ่งยังตามหาอยู่ทุกวันนี้"
คุณพ่อบรรจงเห็นว่า "คนเขียนหนังสือเล่มนี้ทำการบ้านดีมาก
เขาใช้หลักฐานมากแต่ถ้าอ่านโดยไม่มีพื้นเพความแม่นยำของหลักฐาน จะถูกเขาพาไปได้ง่าย
แต่ถ้าไปเจาะดูหลักฐานแต่ละอย่าง บางทีเขาใช้แค่ครึ่งหนึ่งของหลักฐาน หรือเอ่ยชื่อแต่ไม่ได้สานต่อ
เขามีข้อแก้ตัวว่าเขียนนิยายไม่ได้เขียนประวัติศาสตร์ เป็นนักเขียนที่ผสมผสาน
3 อย่างเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนคือ 1.ใช้นิยายเชิงสืบสวนสอบสวนอย่างน่าสนใจ
2.ทำให้เป็นนิยายในเชิงความรัก ความผูกพัน 3.เขียนแบบดูเหมือนว่าเขาเป็นนักวิชาการ
อ้างเอกสารต่างๆ แต่เขาเป็นเพียงนักวิชาการแค่ครึ่งเดียว เพราะแค่แตะหรืออ้างเอกสารโดยไม่เข้าไปพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่
ผู้เขียนพยายามสะกิดต่อมความอยากรู้ของผู้อ่านว่าลองให้พระเยซูแต่งงานซิ
นักเขียนคนนี้พยายามนำช่องว่างที่ไม่มีเอกสารยืนยันชัดเจน มาสร้างทฤษฎีขึ้นใหม่
เชื่อมช่องว่างแต่ละช่อง ทำให้คนอ่านคล้อยตามได้ง่าย พระศาสนจักรคาทอลิกอ่านเรื่องนี้แล้วมีแต่ส่ายหัว
หนังสือเล่มนี้สร้างความไขว้เขวให้กับบางคน โดยเฉพาะเยาวชนในยุโรปที่มีโอกาสคล้อยตามไปได้ง่าย
นักวิชาการคาทอลิกหลายๆ คนที่อ่านหนังสือ เล่มนี้แล้วจะพูดเหมือนๆ กันคือ
อย่างน้อยที่สุด นิยายเรื่องนี้ทำให้คาทอลิกต้องหันมาทำการบ้านให้ดีขึ้น
จุดไหนที่เป็นช่องโหว่ต้องศึกษาตีให้แตกให้ลึกซึ้ง เป็นหนังสือที่ท้าทายพระศาสนจักรคาทอลิกว่าคุณต้องทำการบ้านให้มากกว่านี้
และสามารถพยุงให้คริสตชนมีความเชื่อด้วยความหนักแน่นมากขึ้น แต่ทางวาติกันจะไม่พูดถึงหนังสือเล่มนี้
เพราะถ้าพูดจะเป็นการโฆษณาหนังสืออย่างเป็นทางการ ถือว่าเป็นแค่นิยายเรื่องหนึ่ง
คนที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วน่าจะกลับไปทบทวนว่าในหนังสือตรงกับคำสอนที่เราได้รับมาหรือไม่
ส่วนคนที่จะอ่าน ควรอ่านพร้อมด้วยท่าทีว่านี่คือนิยาย ที่อ้างถึงเอกสารร้อยแปดพันเก้า
แต่ไม่เคยไปพิสูจน์เลยว่าเอกสารนี้ถูกต้องหรือไม่ เพียงแต่ดึงชื่อมา แล้วตกแต่งเข้าไปบ้าง
ถ้าอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วรู้สึกหวั่นไหวคล้อยตาม ต้องมาศึกษาคำสอนเล่มครบใหม่
เพื่อเจาะลึกคำสอนว่าสิ่งที่เราเชื่อถือปฏิบัติ เราหนักแน่น เพียงพอแล้วหรือยัง
ถ้าเราหวั่นไหวต้องรีบไปหา ความรู้กับคุณพ่อเพื่อขอความรู้ในประเด็นนั้น
ให้ชัดเจนขึ้น สำหรับความเชื่อในศาสนา ไม่จำเป็นต้องเป็นความเชื่อที่สามารถพิสูจน์และเห็นได้
ศาสนาคริสต์เป็นของจากเบื้องบนประทานให้เรา หลายๆ อย่าง ไม่สามารถเข้าใจพระเจ้าได้
พระองค์อยู่สูงกว่าความรู้ของเรา และที่สำคัญอย่าเชื่อแค่ข้อความเชื่อ
แต่เราต้องเชื่อคนที่ให้ความเชื่อนั่นก็คือพระเป็นเจ้า เพราะพระองค์รักเรา
ปรารถนาดีกับเรา"
คุณพ่อเคลาดิโอ คณะธรรมทูตแห่งมารีนิรมล
(OMI) กล่าวว่า "ตอนแรกไม่ได้สนใจหนังสือเล่มนี้เพราะถือว่า นิยายไม่เกี่ยวข้องกับเทววิทยา
ประมาณ 1 ปีก่อน ตอนนั้นประจำอยู่ที่วัดมีสัตบุรุษไม่น้อยมาถามถึงเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้
และได้ดูวีซีดีสารคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ก่อนที่จะมาพูดเรื่องนี้ก็ได้อ่านหนังสือฉบับภาษาอังกฤษ
พื้นฐานเทววิทยาของพระศาสนจักร คือ 1.พระคัมภีร์ 2.ธรรมประเพณี 3.คำสอนทางการของพระศาสนจักร
หนังสือเล่มนี้ไม่เกี่ยวข้องกับทั้ง 3 ประการนี้ ความรู้สึกจากการอ่านคือหนังสือขายได้ดีเพราะคนไทยไม่ค่อยรู้จักศาสนาคริสต์
และทั่วโลก ที่เป็นคริสต์ก็ไม่ค่อยรู้จักศาสนาของตัวเอง สิ่งที่ แดน บราวน์กล่าวถึง
เช่น Opus Dei ความจริงแล้วคือ movement หนึ่งในพระศาสนจักร อย่างเช่นประเทศไทยมีคณะคูร์ซิลโลฯ
มีโฟโคลาเร สมาชิกคณะนี้มีทั้งพระสงฆ์ นักบวชและฆราวาส ผู้ก่อตั้งคือ โฮเซมารีอา
เอสกรีวา เดอ บาละเกวอ (1902-1975) พระสงฆ์ชาวสเปน สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น
ปอล ที่ 2 ประกาศเป็นนักบุญเมื่อปี ค.ศ.2002 ผู้ก่อตั้งคณะมีชีวิตอยู่
ในช่วงเกิดสงครามกลางเมืองในสเปน ถ้าอยากรู้เพิ่มไปดูที่เว็บไซต์ www.Opusdei.org
หนังสือเล่มนี้ มีผลกระทบต่อคณะนี้ทำให้โลกมองเขาในแง่ร้าย"